10 คำถามสัมภาษณ์งานยอดฮิตและวิธีตอบให้ประทับใจ
เผยแพร่เมื่อ: 28 Jan 2025, 14:43 Asia/Bangkok โดย JobTH.com, จำนวนครั้งที่อ่าน: 1281
ในยุคที่การทำงานแข่งขันสูงและเทคโนโลยีทำให้เราติดต่อกันได้ตลอดเวลา การสร้างสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวหรือที่เรียกว่า Work-Life Balance จึงเป็นเรื่องสำคัญที่คนทำงานยุคใหม่ไม่ควรมองข้าม การที่เราสามารถจัดการเวลาและพลังงานระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวได้ดี จะส่งผลต่อสุขภาพกายและใจ รวมถึงประสิทธิภาพในการทำงานอีกด้วย
การมี Work-Life Balance ที่ดีไม่เพียงแต่ช่วยให้เรามีความสุขในการใช้ชีวิตมากขึ้น แต่ยังส่งผลดีต่อองค์กรด้วย เนื่องจากพนักงานที่มีความสุขและสุขภาพดีจะมีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น และลดปัญหาการลาออกหรือ burnout ได้ ตัวอย่างเช่น พนักงานที่สามารถแบ่งเวลาให้กับครอบครัวและงานได้อย่างเหมาะสม มักจะรู้สึกมีแรงจูงใจและทุ่มเทกับการทำงานมากขึ้น
หากคุณพบว่าตัวเองมีอาการเหล่านี้ นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าคุณกำลังขาดสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว:
การสร้างสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องอาศัยการวางแผนและฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ ต่อไปนี้คือเทคนิคที่ช่วยให้คุณสร้าง Work-Life Balance ได้ดีขึ้น:
พยายามแยกงานและชีวิตส่วนตัวออกจากกันให้ชัดเจน เช่น ไม่ตอบอีเมลงานหลังเวลางาน หรือไม่นำงานกลับบ้านทำในวันหยุด ตัวอย่างเช่น หากคุณทำงานที่บ้าน ให้กำหนดพื้นที่เฉพาะสำหรับการทำงาน และเมื่อเลิกงานแล้วให้ปิดคอมพิวเตอร์และออกจากพื้นที่ทำงานทันที
ใช้เครื่องมือช่วยจัดการเวลา เช่น To-Do List หรือแอปพลิเคชันวางแผนการทำงาน เพื่อจัดลำดับความสำคัญของงานและหลีกเลี่ยงการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น คุณอาจใช้เทคนิค Pomodoro โดยทำงานเป็นช่วงเวลา 25 นาที และพัก 5 นาที เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดความเครียด
อย่ากลัวที่จะปฏิเสธงานหรือกิจกรรมที่เกินขีดความสามารถหรือเวลาของคุณ การรู้จักปฏิเสธจะช่วยให้คุณมีเวลาให้กับสิ่งที่สำคัญจริงๆ ตัวอย่างเช่น หากเจ้านายมอบหมายงานเพิ่มในขณะที่คุณมีงานค้างอยู่มาก คุณสามารถอธิบายสถานการณ์และขอขยายระยะเวลาได้
การพักผ่อนและทำกิจกรรมที่ชอบจะช่วยเติมพลังให้กับร่างกายและจิตใจ ตัวอย่างเช่น ออกกำลังกาย ดูหนัง อ่านหนังสือ หรือท่องเที่ยวในช่วงวันหยุด
การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายเป็นประจำ จะช่วยให้คุณมีสุขภาพที่ดีและพร้อมสำหรับการทำงาน ตัวอย่างเช่น คุณอาจเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการออกกำลังกายเบาๆ หรือฝึกสมาธิเพื่อลดความเครียด
ตัวอย่างเช่น คุณสมชายเป็นพนักงานออฟฟิศที่มักทำงานล่วงเวลาและรู้สึกเครียดอยู่เสมอ เขาจึงเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยการกำหนดเวลางานชัดเจน ไม่ตอบอีเมลหลังเลิกงาน และหาเวลาออกกำลังกายทุกเย็น หลังจากนั้น เขารู้สึกว่ามีพลังงานมากขึ้นและสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อีกตัวอย่างคือ คุณสมหญิงเป็นฟรีแลนซ์ที่ทำงานจากบ้าน เธอจัดสรรเวลางานและเวลาส่วนตัวให้ชัดเจน โดยทำงานเฉพาะในเวลาที่กำหนด และใช้เวลาที่เหลือไปกับครอบครัวและกิจกรรมที่ชอบ ทำให้เธอรู้สึกมีความสุขและไม่เครียดกับการทำงาน
Work-Life Balance ไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถสร้างได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและ mindset เล็กๆ น้อยๆ การสร้างสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวจะช่วยให้คุณมีสุขภาพกายและใจที่แข็งแรง พร้อมรับมือกับความท้าทายในชีวิตการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ